ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

เทศน์หลังฉันจังหัน

๑๑ ต.ค. ๒๕๕๑

 

เทศน์หลังจังหัน
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๕๑
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

หลวงพ่อ : เรื่องอย่างนี้ ถ้าคนอื่นพูดมันก็เป็นตำรา แล้วตำรามันเป็นทฤษฎี มันก็ว่ากันไป มันสูงสุดสู่สามัญนะเรื่องอย่างนี้

โยม : (เสียงไม่ชัดเจน)

หลวงพ่อ : เรื่องอย่างนี้มันมี แล้วเวรกรรมมี ทีนี้เวรกรรมมี มันก็หมุนไปอย่างนี้ เพราะว่าเราคุยกับหมอนะ เวลาเราคุยกับหมอ หมอที่เขาเก่ง พวกหมอนวด หมอสมุนไพร เวลาเขาช่วยมา ทุกคนมีกรรมใช่ไหม เพราะเราไปช่วยให้เขาหมดจากกรรม กรรมมันก็อยู่ที่เราแล้ว ทีนี้พวกนี้เขาจะไถ่ออกด้วยการทำบุญต่อไง ทุกคนมีบุญมีกรรมมา นี่กรรมของเขาใช่ไหม

อย่างพูดถึงการทรงเจ้าเข้าทรง การทรงเจ้านะ การทรงเจ้า ถ้าประทับทรงแบบว่าเขามาช่วยโลกนั่นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ต่อๆ ไปแล้วมันทำเป็นอาชีพ พอเป็นอาชีพ เราถึงไม่เชื่อตรงนี้ไง สิ่งที่จริงก็มี สิ่งที่ปลอมก็เยอะ ก็เหมือนพระเรา เอ็งเห็นพระไหม พระก็พระ ก็พระนี่ไง แล้วพระองค์ไหนเป็นพระล่ะ อันนั้นก็เหมือนกัน เพียงแต่เราเข้าถึงไม่ถึง

อันนี้เหมือนกัน เราจะพูดถึงอย่างที่ว่า การต่ออายุ ถ้าการต่ออายุอย่างนั้นมันก็การต่ออายุอย่างที่พูดเมื่อกี้ ไปทางทรงเจ้าเข้าทรง เขาก็ต่ออายุกันไปเพื่ออย่างนั้น แต่ของธรรมะไม่ใช่เป็นอย่างนั้น ของธรรมะ พูดถึงนะ พูดถึงธรรม พระพุทธเจ้าบอกว่า พระอรหันต์ ถ้าเธออยู่อีกกัปหนึ่งก็อยู่ได้ พระพุทธเจ้าอยากจะอยู่ต่อ เขาพูดอย่างนั้นเลยนะ พระอรหันต์อยากอยู่ต่อ เดี๋ยวก็ว่าพระอรหันต์มีกิเลสอีก ไม่ใช่

อานนท์ เราบอกเธอแล้วไม่ใช่หรือ เราบอกเธอถึง ๑๖ ครั้ง ที่นั่นๆๆ ให้เธอนึกอาราธนาไว้ ถ้าเธออาราธนาไว้ เราจะ ๕ ห้ามเธอถึง ๓ หน หนที่ ๔ เราจะนิ่ง คือการรับโดยดุษฎีภาพว่าเรารับการอยู่ต่อไป อยู่อีกกัปหนึ่งก็อยู่ได้ แต่เธอไม่นิมนต์เราเลย พอเธอไม่นิมนต์เรา พอถึงเวลาแล้วมารมาดลใจไง มารบอกมานิมนต์ให้นิพพานไง “มารเอย เมื่อใดภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาของเรายังไม่เข้มแข็ง ยังไม่สามารถทรงธรรมวินัยได้ เราจะไม่ยอมนิพพาน” มารก็นิมนต์อยู่ตลอดเวลา

แล้วถ้าพูดถึงมารนิมนต์ มันก็เหมือนกับเป็นเรื่องภายในของพระพุทธเจ้า แต่พระอานนท์อาราธนาปั๊บ มีเหตุมีผลใช่ไหม อยู่อีกกัปหนึ่งก็อยู่ได้ ทีนี้พอพระอานนท์ไม่ได้นิมนต์ เพราะพูดบอกเป็นนัยถึง ๑๖ เที่ยว แล้วพระอานนท์บอกมารก็ดลใจเหมือนกัน ไม่ให้นิมนต์

ที่พระอานนท์โดนปรับอาบัติมีอยู่ ๒ กรณีตอนพระพุทธเจ้านิพพานแล้ว

๑. ไม่นิมนต์พระพุทธเจ้าไว้

๒. ตากผ้าพระพุทธเจ้าไว้แล้วเหยียบ

พระอานนท์บอกว่าไม่มีอาบัติเลยเพราะไม่มีเจตนา ไม่เข้าใจอะไรเลย แต่เพื่อความสมานฉันท์ในสังคม ท่านยอมปลงอาบัติทุกกฏ ๒ ข้อ

จะบอกตรงนี้ไง บอกว่า ถ้าพระอรหันต์จะอยู่อีกกัปหนึ่ง ดูอย่างเรายกตัวอย่าง อย่างหลวงตาเลย หลวงตาเวลาท่านอยู่ของท่าน เวลาท่านเทศน์ธรรมะ เวลาท่านเทศน์ธรรมะท่านไปจ้อยๆๆ เลย เพราะธรรมนั้นออกมาจากใจของท่าน แต่เวลาท่านจะลุกจะนั่งทำไมโอดโอยล่ะ โอดโอยนี้เรื่องของร่างกาย จะอยู่อีกกัปหนึ่งถ้าร่างกายแข็งแรง จะอยู่อีกเมื่อไหร่ก็ได้ ทีนี้ร่างกายมันเสื่อมสภาพ แต่หัวใจนั้นไม่มีเสื่อมสภาพเลย พวกเราใจไม่มีอายุ แต่มันอยู่ในชีวิตมันก็อยู่ไป ๑๐๐ ปี เราอยู่ขนาดไหน

ทีนี้ถ้าต่ออายุนะ คำว่า “ต่ออายุ” ตรงนี้เอง ถ้าคนจะตาย จิตมันจะออกจากร่าง จิตจะออกจากร่าง นี่คือการตาย ตาย วิญญาณออกจากร่างไป มันก็ไปเกิดภพใหม่ ไปเกิดภพใหม่มันก็ทิ้งร่างกายนี้ไว้ แต่ถ้าเราไม่ให้ไป มันก็อยู่กับร่างกายนี้ไปได้ มันอนิจจังไง ชีวิตนี้มันอนิจจัง มันแปรสภาพได้ มันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาใช่ไหม ประสาเรา เราอยู่ที่นี่หรือเราตายไปก็จิตดวงเก่านี่แหละ แต่จะได้สถานะใหม่ต่อๆ ไป ทีนี้สถานะเราอยู่นี่ก่อนก็ได้ ยายกั้งที่ว่าเห็นตัวเองเข้าไปจุติในครรภ์ของหลาน แล้วไปถามหลวงปู่มั่นไง เวลานั่งภาวนาไปเห็นจิตเข้าไปอยู่ในท้องของหลาน หลวงปู่มั่นบอกให้กำหนดจิตแล้วตัด พอตัดปั๊บ มันก็เป็นประเด็นขึ้นมาแล้ว ตัวเองยังอยู่ ยังไม่ตาย ไปเกิดได้อย่างไร สอง เวลาตัดเข้าไป ฆ่าสัตว์หรือเปล่า

ไอ้อย่างนี้เราจะบอกเลย ดูอย่างปกติเรา เวลาเราตายไป เราต้องไปยมบาลไปตัดสินว่าจะไปไหนกัน เพราะพวกเราทำดีทำชั่วด้วย เทวทัตไม่ต้องไปยมบาล ลงไปเลย คหบดีเวลาตายขึ้นสวรรค์ไปเลย คือเราจะบอกว่ามันไม่ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ไง มันมีกรณียกเว้น กรณีที่ว่าไม่ต้องไปตรงนั้นก็ได้ ถ้าทำดี ทำดีมากๆ

ทีนี้การต่ออายุ หลวงปู่ฝั้นท่านไปต่อหลวงปู่ขาว ท่านคอยช่วย สมัยนั้นนะ สมัยนั้นมันแบบว่าหลวงปู่มั่นท่านเริ่มวางรากฐานของศาสนา แล้วมันต้องแก้ไข มันต้องปรับปรุงอะไรอีกเยอะมาก แล้วถ้าครูบาอาจารย์เป็นหลักเป็นชัยนะ ที่ว่าหลวงปู่ฝั้นท่านทำได้ ท่านรู้ เวลาหลวงปู่ฝั้น หลวงปู่อะไรที่ไปหาหลวงปู่มั่น ท่านจะบอกว่าให้ช่วยดูๆ เวลาหลวงปู่ฝั้นท่านไปแก้ให้หลวงปู่ขาว แล้วเวลาตัวท่าน ท่านพูดเอง เพราะว่าเราไปอยู่ที่นั่นมา เราอยู่วัดอุดมสมพรหลายปี ท่านบอกหลวงปู่สุวัจน์ว่าให้ไปสร้างกุฏิไว้ที่ถ้ำศรีแก้ว แล้วท่านจะเข้าสมาบัติ ถ้าท่านเข้าสมาบัติ ท่านฟอกใจของท่าน ท่านจะอยู่ได้อีกนานเลย

ทีนี้ไปสร้างมันเสร็จไม่ทัน พอไปสร้างเสร็จไม่ทันก็ยังจำพรรษาอยู่ที่วัดอุดมสมพรนั่นน่ะ พอจำพรรษาอยู่ที่วัดอุดมสมพร คนโน้นก็เข้า คนนี้ก็เข้า ท่านบอก หมายถึงว่า ท่านขอ ท่านขอว่า ในพรรษานี้ ใน ๓ เดือนนี้ให้ใครกันไม่ให้คนเข้าไปหาท่าน ท่านจะฟอกของท่านเองไง อันนี้ไอ้คนคุ้นเคย ไอ้คนคุ้นเคย ไอ้คนที่ไปประจำ ไอ้คนกันเอง เคยเข้าเคยออกหรือสนิท มันไม่ยอม มันผ่าเข้าไป พอผ่าเข้าไปปั๊บ โอ้โฮ! หลวงปู่สุวัจน์ท่านเป็นเลขา ท่านพยายามจะกันไว้ให้ ทีนี้คนเข้าใจผิด เข้าใจหลวงปู่สุวัจน์ผิดว่าหลวงปู่สุวัจน์ขี้เหนียว คือว่ากีดกัน แต่เวลาพออย่างนั้นปั๊บ พอกลางพรรษาท่านก็ป่วย ก็พระเพื่อนไปถามท่านเอง เพราะพระเพื่อนเป็นผู้อุปัฏฐาก ไปถามหลวงปู่ “หลวงปู่ หลวงปู่ป่วยคราวนี้จะหายบ่”

“โอ้! หลับตาลงเมื่อใดมีแต่ผู้เอาน้ำตามาฝากว่ะ”

ตีความไม่ออกนะ เพราะท่านพูดออกไปปั๊บ พระมันจะเสียกำลังใจหมด ท่านรู้เลยว่าท่านต้องเสีย หลับตาลงเมื่อไหร่คือตายไง ตายลงเมื่อไหร่นะ มีแต่น้ำตาท่วมวัด แต่ท่านไม่พูดตรงๆ ท่านบอกหลับตาลงเมื่อใดก็เห็นมีแต่คนเอาน้ำตามาฝาก คือท่านไม่ได้สะเทือนอะไรเลย แต่ถ้าพูดถึงท่านขอ ท่านขอบอกว่าอย่าให้เข้าไปหาท่านใน ๓ เดือนนะ ท่านยังไม่ตาย แล้วท่านแข็งแรงมากนะ

เช่น หลวงปู่จวน อาจารย์วัน เวลาตอนที่ท่านเสีย โอ้โฮ! ยังเข้มแข็งเลยนะ แล้วถ้าพวกนี้อยู่นะ มันจะประโยชน์ศาสนาขนาดไหน แต่ทีนี้อย่างเช่นหลวงปู่จวน หลวงปู่วัน อาจารย์สิงห์ทอง มันเป็นของท่านจริงๆ เพราะรู้หมด เพราะเราอยู่ที่นั่นพอดี เราอยู่ที่นั่นพอดี เพราะว่าเขาไปนิมนต์กัน ท่านลงจากวัดมา ท่านเขียนเลย ท่านเขียนบนกระดานดำว่าวัดนี้ยกให้ท่านแยง ท่านเขียนเลยนะ เหมือนประสาเรา จะลงไปเขียนในพินัยกรรมไว้เลยว่ากูจะไปตาย แล้วธรรมดาท่านจะไปไหน มันจะมีโยมอุปัฏฐากคนหนึ่งมาจากภูเก็ต ผู้หญิงนี้จะไปไหน จะไปด้วย จะเป็นผู้อุปัฏฐาก คราวนั้นบอกเอ็งไม่ต้องไป เอ็งอยู่วัด ไปคนเดียว เราไปไหนต้องมีพระอุปัฏฐากใช่ไหม ท่านมาองค์เดียวเลย ท่านไม่ให้ใครมาด้วยเลย คือท่านจะมาตาย มันเป็นอย่างนั้น มันเป็นกรรมของแต่ละบุคคล เวลาอย่างนี้มันยังไปตายได้

แต่ถ้าพูดถึงจริงๆ นะ เราจะพูดอย่างนี้ เราจะบอกว่า พระอรหันต์จะอยู่ต่อไปก็อยู่ได้ มันแก้ไขได้ มันทำได้ เพราะเรื่องอย่างนี้มันจิตออก จิตเราดู เราคุมได้หมด มันจะไปไหนเรารู้หมด แล้วถ้ากูไม่ไปมันจะเกิดอะไรวะ เพียงแต่ว่าประสาเรานะ ถ้าเราปล่อยตามธรรมชาติ ไปไหนก็ไป คือว่าไม่ยินดียินร้าย มันก็ไปตามธรรมชาติมัน แต่ถ้าเราตั้งสติ กูไม่ไป มึงจะไปไหน แล้วกูไม่ตาย มันจะตายได้อย่างไร เพียงแต่ว่าพอเราไม่ตาย มันไม่ไหวไง ร่างกายมันไม่ไหว ร่างกายมันเสื่อมสภาพ อยู่แล้วมันโอดมันโอย ทิ้งเลย

แต่ไอ้อย่างที่ว่าที่ต่อ มันต่อแล้วมันแข็งแรงหมดด้วยนะ หลวงปู่ขาว เขาไปแกะสลัก หมออวย เกตุสิงห์ ที่ไปแกะสลักไว้ที่หน้าผา นั่นน่ะช่วยกัน แล้วหลวงปู่ฝั้นด้วย เพราะเมื่อก่อนนะ พระรักกันมาก แล้วส่วนใหญ่แล้วเป็นธรรม พูดอะไรกันผิดถูก ทุกคนเป็นสุภาพบุรุษ ผิดต้องยอมรับว่าผิด ถูกต้องยอมรับว่าถูก คุยอะไรกันง่ายมากเลย แล้วมาช่วงท้ายๆ ไปมันตะแบงกันไปหมดแล้ว มันพูดกันไม่รู้เรื่อง แต่เดิมนะ โอ้โฮ! พระเราขาวเป็นขาว ดำเป็นดำ แล้วมันอยู่กันมีความสุข เดี๋ยวนี้เทาๆ เทาๆ เทาๆ กันไป แต่เอ็งอยู่ของเอ็งเถอะ กูไม่ไหว เราก็อยู่ของเรา ไม่เอา มันรับสภาวะอย่างนั้นไม่ได้

ต่อได้ แต่ทีนี้การต่ออย่างนี้นะ พูดถึงการต่อ ถ้าพูดถึงเป็นสัจธรรม สัจธรรม ต่อหรือไม่ต่อมันมีคุณค่าเท่ากันไง ทีนี้ถ้าพูดถึง ถ้าการต่อชีวิตปั๊บ ถ้าเราบอกว่าเราเป็นผู้ที่มีความสามารถต่อชีวิตคนได้ ทุกคนจะมาหาเราเลยนะ แล้วให้เราต่อให้ โอ๋ย! เงินทองไหลมาเทมาเลย แล้วมันต่อเพื่ออะไรล่ะ

อันนี้คำว่า “ต่อได้” มันเป็นของแต่ละบุคคลที่เราทำกันเพื่อประโยชน์สังคม อยู่หรือตายมีค่าเท่ากัน สมมุติเราต้องตายวันนี้ เราต่อชีวิตเราไปอีก ๑๐ ปี อีก ๑๐ ปีตาย กับวันนี้ตาย มันต่างกันตรงไหน คือเราไม่ต้องไปเดือดร้อนตรงนั้นไง เราไม่ต้องไปเดือดร้อนตรงนั้น อ้าว! วันนี้เราต้องตาย แล้วเราต่อชีวิตไปอีก ๑๐ ปี อีก ๑๐ ปีเราก็ตาย แล้วเราได้อะไรขึ้นมา แต่ ๑๐ ปีที่อยู่ทำดีมันก็ได้ผลดีไป ๑๐ ปีที่อยู่ทำชั่วนะ ไอ้ตายตอนนี้กูได้ไปสวรรค์ กูทำดีไว้ แล้วกูต่อไปอีก ๑๐ ปีแล้วกูไปปล้นจี้เขาตลอดนะ กูตายไป กูตกนรกไปเลย

เราจะบอกว่าเรื่องนี้มันเป็นเรื่องธรรมดา เพียงแต่ธรรมดานะ พ่อแม่เราหรือว่าญาติเรา เราก็อยากให้ชีวิตยืนยาวมันก็เป็นเรื่องธรรมดา ทีนี้อย่างถ้าเป็นธรรม ธรรมะก็คืออนิจจัง มันเป็นอย่างไร เราก็เป็นอย่างไร ทีนี้อย่างที่กรณีอย่างที่ว่าเวลามันมีกรรมนิมิต ถ้ามีชีวิตอยู่ เราแก้ของเราไปเรื่อยๆ แก้ของเราได้นี่ดีมาก

กรรมนิมิต เพราะกรรมนิมิตมันบอกนะ เพราะมีคนมาหาเยอะ เวลาพ่อแม่พอเริ่มอายุจะหมดจะเห็นพวกยมบาล ยมบาลส่วนใหญ่แล้วจะเป็นคนไทยโบราณ เป็นคน เป็นผู้ชายโบราณนุ่งผ้าแดง ร่างกายจะกำยำมาก ถ้าเห็นอย่างนั้นนะ ไม่กี่วันคนนั้นจะต้องหมดอายุ ถ้าใครเห็นคนเวลานอนไป ฝันไปเห็นคนไทยร่างกายแข็งแรง นุ่งโจงกระเบนสีแดง

โยม : (เสียงไม่ชัดเจน)

หลวงพ่อ : แล้วตอบว่าอย่างไร

โยม : (เสียงไม่ชัดเจน)

หลวงพ่อ : ใช่ ส่วนใหญ่ในพระไตรปิฎกมีอยู่ เวลาคนตายจะถามว่าเห็นธรรมะไหม ฟังว่าง่ายๆ ธรรมะนี้ง่ายมากเลย แต่ตัวเองไม่เห็น เห็นธรรมะไหม ไม่เคยเห็น ไอ้พวกผีจะตอบว่าไม่เคยเห็นทั้งนั้นน่ะ ยมบาลจะถามกลับเลย เห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตายไหม นี่ธรรม ธรรมะคือการเกิด แก่ เจ็บ ตาย กับไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ที่ว่าเห็นคนตายนี่ไง เห็นเกิด เห็นเจ็บ เห็นแก่ เห็นตาย พระพุทธเจ้าออกบวชเลย พอลงมาปั๊บ มันสะเทือนใจ เพราะพวกเรา เดี๋ยวนี้วิทยาศาสตร์มันเจริญไง

ถ้าเป็นคนโบราณนะ หลวงปู่สุวัจน์หรืออย่างไร ที่ประวัติของท่าน ที่ไปเห็นหมู่บ้านทั้งหมู่บ้านเลย กรรมแปลกเนาะ หลวงปู่สุวัจน์ หมู่บ้านทั้งหมู่บ้านเลย เขาออกไปทำงานกันหมดเลย เหลือคนท้องอยู่คนหนึ่งในหมู่บ้าน แล้วก็เหลือท่าน แล้วเวลาคนนี้มันท้อง ไม่มีใครเลย ท่านต้องไปช่วย ท่านลงไปเห็นเข้า ไปเป็นหมอตำแย เห็นคนเกิด โอ้โฮ! ท่านกระอักกระอ่วน ตั้งแต่นั้นมาปฏิญาณเลย ไม่ บวชอย่างเดียวล่ะ

คนเกิด ถ้าจะบอกว่า เราเกิดแบบธรรมชาติ แบบโบราณการเกิด โอ้โฮ! โลกแทบแตกนะ โลกธาตุหวั่นไหว แม่ หมอตำแยก็ต้อง โอ้โฮ! คั้นกันเค้นกันกว่าจะออกมา แต่เดี๋ยวนี้มันไปเกิดในโรงพยาบาลหมด ในห้องคลอดหมด ทุกคนไปเกิดที่นั่นหมดเลย มันเลยไม่เห็นตรงนี้กันไง กลายเป็นเรื่องปกติ แต่เมื่อก่อนนะ การเกิดและการตาย การเกิด พ่อแม่ตายคาท้อง เพราะหมอตำแยไม่เป็น อื้อหืม! คนจะเกิดแต่ละคนไม่ใช่ของง่ายๆ แต่นี่วิทยาศาสตร์เจริญไง ใครเข้ามาก็ยัดเข้าห้องคลอดๆๆ ไม่เกิดแล้วผ่าเลย มันเลยกลายเป็นไม่วิกฤติ การเกิดก็เป็นเรื่องสนุกไปเลย แต่ก่อนนี้การเกิดนี้วิกฤตินะ พ่อแม่ถ้าคลอดไม่ได้ก็ตาย นี่ถ้าคิดเป็นนะ

เวลาคุยกับพระ เมื่อวานคุยกับพระเหมือนกัน เราคุยกับพระถึงว่า เรื่องศาสนาเรื่องอะไร เราบอกว่าเรื่องศาสนานะ ย้อนกลับไปสมัย ร.๕ เราคุยกับพระนะ ย้อนกลับไปสมัย ร.๕ สมัย ร.๕ นะ เรือปืนเข้ามาปิด เมืองไทยยังไม่มีใครอ่านหนังสือออกเลย สมัยไพร่ ยังไม่เลิกทาสนะ ไพร่ พวกทาสไม่มีโอกาสได้อ่านหนังสือ หนังสืออ่านไม่เป็น เมื่อ ๑๐๐ ปีที่แล้วคนส่วนใหญ่อ่านออกเขียนได้ไม่มีนะมึง แต่เพราะว่าการล่าเมืองขึ้น การล่าเมืองขึ้น เห็นถึงการศึกษา ไปยุโรป กลับมาถึงฟื้นฟูวางรากฐานการศึกษากันขึ้นมา แล้วคิดดูซิว่าคนที่อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้เลยมันก็จะมีเฉพาะในครอบครัวใช่ไหม เฉพาะครอบครัวของใครของมันก็ศึกษากัน แล้วคนส่วนใหญ่ล่ะ

ถ้าเรามองสังคมอย่างนั้นมันจะเห็นภาพของความทุกข์ชัดเจนนะว่า คนมีความทุกข์มันเกิดมาในประเทศอันสมควร เกิดมาแล้วทุกข์ยาก เดี๋ยวนี้ใครเกิดมาก็ต้องสิทธิเรียนฟรี ๑๒ ปี มันเลยมองภาพเก่าไม่ออก มองภาพอดีตที่เราทุกข์ยากกันมา มองไม่ออก เพราะว่ามันไม่เข้าใจแล้ว ถึงว่าทำไมเป็นอย่างนั้น ทำไมเป็นอย่างนั้นๆ...ก็เอาความเห็น เอาความคิดของเราเข้าไปจับไง

ถึงบอกว่า หลักการ ถ้าเรื่องศาสนาเริ่มเข้ามาข้างใน มันเป็นเรื่องบุญเรื่องกรรมจริงๆ เลยนะ อย่างพูดถึงอภิญญา ถ้าพูดถึงได้ รู้วาระจิต เมื่อก่อนคนเป็นคนป่า แต่กูคนหนึ่ง กูมีเทคโนโลยีหมดเลย อ้าว! หูทิพย์ก็โทรศัพท์มือถือไง กูเหาะได้ กูมีเครื่องบินพร้อมหมด ไอ้คนอื่นไม่มี แล้วคิดดูซิ คนหนึ่งมีเทคโนโลยีเต็มตัว กับอีกคนหนึ่ง ไอ้พวกนั้นไม่มีอะไรเลย มันก็เลยเป็นเรื่องมหัศจรรย์ แต่เดี๋ยวนี้มีค่าเท่ากันหมดเลย ใครจะเหาะ ซื้อตั๋วเครื่องบินสิ นี่ไง อภิญญาเลยไม่มีความหมายเลย

เราถึงบอกว่า พระพุทธเจ้าถึงบอกอริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค อันนี้หัวใจศาสนา ถ้าไปเน้นตรงฤทธิ์ไง อภิญญาไง รู้วาระจิตไง เหาะเหินเดินฟ้าไง แล้วมันมีประโยชน์อะไร เดี๋ยวนี้วิทยาศาสตร์ทำได้หมดแล้ว แต่มันทำเป็นเทคโนโลยีใช่ไหม ไม่ใช่ทำจากหัวใจ ไอ้พวกเราก็ยังโง่อย่างนั้นน่ะ แต่มันใช้ได้ แต่มึงวิทยาศาสตร์จะดีขนาดไหน มึงแก้กิเลสไม่ได้ มึงแก้การเกิดและการตายไม่ได้ วิทยาศาสตร์มึงจะโคตรดีขนาดไหนนะ มึงจะแก้การเกิดการตายไม่ได้เด็ดขาด เพราะจิตมีเกิดมีตาย วิทยาศาสตร์เป็นสิ่งไม่มีชีวิต การเกิดตายคือจิตปฏิสนธิจิตที่เป็นสิ่งที่มีชีวิต ศาสนาพุทธคงทนต่อการตรวจสอบ ตรวจสอบได้ทุกเวลา เมื่อไหร่ก็ได้ มันมหัศจรรย์ตรงนี้ไง ทีนี้ถ้าพระมีหลักมีเกณฑ์อย่างนี้ปั๊บ มันยึดตรงนี้ได้ ถึงมองไป

โลกไม่อย่างนั้น โลกกลับมองมาไง พระถ้ามีคุณธรรมต้องเหาะเหินเดินฟ้า ต้องรู้วาระจิต เราเลยมองเป็นของเล่น ไอ้นั่นของเล่นนะ เพราะอะไร โธ่! หลวงปู่ตื้อบอกเลย มึงมาหากูสิ กูทายได้ทั้งนั้นน่ะ ยิ่งเรื่องเมื่อ ๑,๐๐๐ ปีที่แล้วกูยิ่งชอบใหญ่ เพราะมึงไม่รู้หรอก กูทายได้ทั้งนั้นน่ะ คือว่าเราไปหาท่านหรือไปหาใครก็แล้วแต่ เขาพยากรณ์มาจริงไม่จริงไม่รู้ จริงไหม ไปหาหมอดู มันดูมึง ทายไปอีก ๑๐ ปีข้างหน้า มันปัดสวะพ้นหน้าบ้านไป มึงเอาเงินมาให้กูเท่านั้นน่ะ จบ แต่ถ้าสัจจะความจริง เอากันเลย ตรงๆ เลย

นี่พูดถึงการต่อชีวิต เรื่องชีวิต เรื่องการต่อ เพราะว่าอย่างการต่อชีวิตหรือการต่อให้ชีวิตยืนยาว มีครูบาอาจารย์เราท่านเป็นประโยชน์ ท่านถึงทำไง แต่จริงๆ แล้วมันไม่กลัวอะไรไง อยู่ก็ได้ ตายก็ได้ มันเรื่องธรรมดา แต่ถ้าอยู่แล้วเป็นประโยชน์ล่ะ อยู่แล้วเป็นประโยชน์ ถ้าตายไปแล้วคือประโยชน์เราก็จบแล้ว ถ้าอยู่ มันเป็นประโยชน์กับเขา ก็อยู่กันไปอย่างนั้น เพราะอยู่หรือตาย พระอรหันต์นะ เวลากิเลสตายไปจากใจแล้ว พระอรหันต์ที่มีชีวิตอยู่ สอุปาทิเสสนิพพาน กับพระอรหันต์ที่ตายไปแล้ว อนุปาทิเสสนิพพาน

ดูสิ เวลาพระพุทธเจ้าพูด “บุญในศาสนาพุทธที่มีบุญมากมีอยู่ ๒ คราว คราวหนึ่ง เราฉันอาหารของนางสุชาดา เราถึงซึ่งกิเลสนิพพาน” กิเลสมันตายไปจากใจ “กับคราวหนึ่งเราฉันอาหารของนายจุนทะ เราถึงซึ่งขันธนิพพาน” ขันธ์ ๕ ไง ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ ไง

อ้าว! แล้วนิพพานสองหนสามหนเชียวหรือ

ไม่ใช่ นิพพานหนเดียว “คราวที่เราฉันอาหารของนางสุชาดาถึงซึ่งกิเลสนิพพาน” คือพระอรหันต์แล้ว แล้วไปฉันอาหารวันสุดท้ายที่จะนิพพาน ฉันอาหารของนายจุนทะไง แล้วพระพุทธเจ้าวิตกกังวลขึ้นมาว่า ถ้าไม่พูดไว้ เดี๋ยวชาวบ้านเขาจะติเตียนนายจุนทะว่าเพราะฉันอาหารของนายจุนทะแล้วอาหารเป็นพิษ แล้วทำพระพุทธเจ้าตาย กลัวเขาจะติเตียนนายจุนทะไง พระพุทธเจ้าเลยกันไว้ก่อนว่าเป็นบุญ ฉันเป็นครั้งสุดท้าย สูกรมัททวะ ที่ว่าฉันไม่ได้ ฉันแล้วไม่ย่อย พระพุทธเจ้าบอกว่าตักใส่บาตรแล้วอย่าให้ใครฉัน ให้ไปกลบไว้ ไม่ให้พระฉัน กลัวพระป่วยไง อันนี้พออย่างนั้นปั๊บ พอฉันเสร็จ ท่านก็เดินไปกุสินาราที่ไปนิพพาน คืนนั้นก็เสีย

แล้วถ้าไม่พูดไว้ คนที่รักพระพุทธเจ้าก็ต้องติเตียนว่าเพราะกินอาหารเป็นพิษ ก็เลยกันไว้ แล้วมันก็เป็นผลอย่างนั้นจริงๆ ด้วย “อานนท์ จำไว้เลย บอกเขา ถ้าคนไม่เข้าใจเขาจะไปตินายจุนทะ บอกว่าอาหารที่ถวายในพระพุทธศาสนาที่มีผลมาก มีอานิสงส์มาก มีบุญมาก มีอยู่ ๒ คราว คราวหนึ่ง เราฉันอาหารของนางสุชาดาแล้วถึงซึ่งกิเลสนิพพาน” คือบรรลุเป็นพระอรหันต์ “กับอีกคราวหนึ่ง เราฉันอาหารของนายจุนทะแล้วเราถึงซึ่งขันธนิพพาน” อ่านแล้วจำแม่นตรงนี้ จำฝังใจเลย เพราะกิเลสนิพพานกับขันธนิพพาน เพราะขันธ์มันไม่มี ขันธ์ไม่ใช่กิเลส ขันธ์มันเป็นสิ่งที่สะอาดบริสุทธิ์ แต่มันเป็นสะ เศษส่วนของร่างกาย พูดถึงร่างกายเราถ้าไม่มีกิเลส ร่างกายนี้ไม่มี ที่ว่าธรรมกายๆ ธรรมกายคือกายของพระอรหันต์ เพราะจิตมันเป็นพระอรหันต์แล้วมันฟอกกายนั้นให้เป็นธรรม ทีนี้พอจิตมันเป็นพระอรหันต์ มันฟอก พอฟอก จิตมันเป็นพระอรหันต์แล้วมันอยู่ในร่างกายนั้น มันก็จะล้างตลอด เวลาตายแล้วเผาแล้วกระดูกถึงเป็นพระธาตุไง

แต่ถ้าเราก็เหมือนกัน เราอยู่ ๑๒๐ ปีเลย เผา เผาก็เป็นเศษดิน เพราะกูก็มีความอยากอยู่ธรรมดา แต่พอถึงซึ่งกิเลสนิพพาน แล้วพระพุทธเจ้าอยู่มาอีก ๔๕ ปี ๔๕ ปี ฟอกตลอด แล้วพอถึงวันสุดท้าย อนุปาทิเสสนิพพาน อนุปาทิเสสนิพพานไม่ใช่สะ ไม่ใช่เศษส่วนนะ มันทิ้งร่างกายแล้ว ตัวจิตก็เข้าธรรมธาตุไปแล้ว ตัวธรรมะนั่นน่ะ โธ่! ถ้าท่านจะอยู่อีกเท่าไรก็ได้ พระพุทธเจ้า อยู่อีกเท่าไรก็ได้ ทีนี้เพียงแต่มันเป็นชีวิตแบบอย่าง เพราะ ๘๐ ปี อย่างเช่นหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นท่านก็เสียตอนอายุ ๘๐ แล้วตอนที่อยู่เชียงใหม่ เจ็บหนักแล้วเข้าโรงพยาบาลแมคคอร์มิค แล้วพวกหมอฝรั่งเขาก็กระซิบกับพระเลยบอกว่าไม่รอด ไม่รอด

หลวงปู่มั่นก็นอนอยู่นะ ท่านก็เรียกพระมาถามว่าอย่างไร เขาบอกว่าหลวงปู่มั่นไม่รอดหรอก หลวงปู่มั่นบอกว่ากลับเถอะ ไม่ตายหรอก ไม่ตาย อย่างไรก็ไม่ตาย ก็ออกจากโรงพยาบาล ก็ไปอยู่ที่ป่าเปอะ ที่หลวงปู่เจี๊ยะดูแลอยู่ ที่ว่าซื้อนมมาชงให้ฉันน่ะ

ไม่ตาย หลวงปู่มั่นบอกไม่ตาย ท่านรู้หมด ไม่ตาย แต่หมอบอกไม่รอด ไม่รอด อย่างไรก็ไม่รอด แต่หลวงปู่มั่นบอกกลับเถอะไม่ตาย พอไม่ตาย นี่พูดถึงตอนที่ท่านรู้ของท่านไง

แล้วพอมาไปถึงที่บ้านผือ “พระภาวนามานะ การแก้จิตมันแก้ยากนะ ผู้เฒ่าจะแก้ว่ะ กี่ปีๆ ไม่เกิน ๘๐”

การแก้จิตมันแก้ยากนะ การแก้ความรู้สึก ความรู้สึกจากภายในที่เราเข้าใจผิด เราเห็นผิดกัน เราแก้ยาก ฉะนั้น ถ้าคนรู้จริงมันจะแก้ได้ เน้นตลอดนะ แล้วพอถึงที่สุดปั๊บ ที่หลวงตาท่านเล่า “เราป่วยมาตั้งแต่เมื่อวานแล้วนะ คราวนี้ไม่ต้องรักษา ตาย” เวลาพูดยังแข็งแรง ยังปึ๋งปั๋งอยู่เลยนะ แต่คราวนี้ตาย ถึงเวลาก็ตาย แต่เวลาตอนป่วยกระเสาะกระแสะเลย เขาบอกว่าต้องตาย หมอบอกเลยต้องตาย ท่านบอกไม่ตาย นี่พูดถึงการทำ ใจมันเป็นธรรมนะ

แต่ทีนี้ไอ้ตรงนี้ เราพูดอย่างนี้ปั๊บ เราบอกว่า เราจะพูดว่าไอ้เรื่องต่ออายุ เรื่องอะไรนี่มันมี แต่ถ้าเราไปติดตรงนั้นปั๊บ มันก็เหมือนกับพวกอภิญญากับอริยสัจ อริยสัจมันแก้กิเลส แก้เกิดแก้ตาย นี่คือตัวศาสนา ไอ้อายุสั้นอายุยืนมันเป็นผลบุญผลกรรมของแต่ละคน โธ่! ถ้าเราเลวๆ อย่างนี้เนาะ ใครบอกให้ตายๆ ไปเถอะ ไม่อยากให้อยู่ไปนานๆ หรอก ไปทำลายคนอื่น ให้รีบๆ ตายเสีย อายุยืนเขายิ่งไม่ชอบ เขายิ่งชอบให้อายุสั้นๆ ด้วย ไอ้คนไม่ดีเขาอยากให้มันไปเร็วๆ แต่มันเสือกอายุยืนนะคนอย่างนั้น ไอ้คนดีๆ นะ แหม! ปั๊บๆ ไป ปั๊บๆ ไป ไอ้คนที่เขาอยากให้ไปมันไม่ยอมไปสักที

เราจะบอกว่ามี แล้วเราเข้าใจอยู่ เพียงแต่ว่าไม่เอามาเป็นการจุดประเด็นที่มี สำคัญตรงนี้ ตรงกรรมเราแก้กัน เราเห็นมาเยอะ แล้วบางทีอย่างบางอย่างคนเรามันกรรมเก่ากรรมใหม่ มันมาถึงตรงนั้นปั๊บ มันต้องทำไปกับเขา เพียงแต่ว่าคนมันจะแยกตัวออกมามันต้องเข้มแข็ง

สมัยเรา เราเที่ยวอยู่กันในหมู่เพื่อน ในหมู่เพื่อนนี่นะ กินเหล้าเมายา เล่นการพนันทั้งหมดเลย เราอยู่กับเขาโดยที่ไม่ทำอะไรเลยนะ ไปเที่ยวบาร์กันต้องสั่งน้ำส้มให้เราแก้วหนึ่ง จนเป็นอันที่รู้กัน ถ้าเข้าบาร์นะ ต้องมีน้ำส้มแก้วหนึ่งเฉพาะเรา เล่นการพนันทุกอย่าง ไม่เล่น เขาเล่นกันหมด ในหมู่เพื่อนเล่นกันอยู่อย่างนั้นน่ะ อยู่ในดงเลย อยู่ในดงอบายมุขเลย แต่ตัวเองไม่ทำอะไรกับเขาเลย แล้วอยู่กับเขาได้ มันเห็นมาอย่างนั้นไง ฝืนนะ เวลาจะบอกว่าต้องจริง ถ้าไม่จริง เขาไม่ยอมรับเราหรอก “เฮ้ย! ไม่เป็นไรนิดหน่อย ไม่มีใครรับหรอก” จะไปเที่ยวที่ไหนก็แล้วแต่นะ เราไม่ต้องสั่ง เขาสั่งให้เลย เฉพาะเรา เฉพาะของเราต่างหาก แล้วเขาจะหยำเปเทเมานะ ก็อยู่กับเขาได้หมด

นี่จะพูดถึงเวลาฝืนไง เราเคยมีประสบการณ์อย่างนี้ ประสบการณ์กระแสมันไปอย่างนี้ แล้วเรายืนขวางเขามาคนเดียว โอ้โฮ! แรง เป็นอย่างนี้มาตลอดนะ ไปอยู่บ้านตาดก็เหมือนกัน เวลาเข้าไปบ้านตาด เขาก็ไปประสาเขานะ พระนะ ทำข้อวัตรอะไรก็ไปอย่างนั้น เราก็ทำข้อวัตรกับเขา แต่เราไม่ไปกับเขา พอเสร็จปั๊บ กูเข้าทางจงกรม เขาเรียกว่าเหมือนกับอยู่แบบไม่มีพวก อยู่คนเดียว อยู่กับสังคมทั้งสังคมด้วย เรายืนต้านกระแสอยู่คนเดียว เรามองชีวิตเราเป็นอย่างนั้นมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วก็ตั้งแต่เที่ยวก่อนบวช แล้วพอบวชแล้วก็ยังเป็นอย่างนั้น มันนิสัยสันดาน เห็นเขาทำผิดแล้วมันรับไม่ได้ คือไม่ยอมผิดกับใคร ใครทำผิด มึงทำไป กูไม่เอา จะเอาแต่ความจริง ถ้าความจริงนี่ทันทีเลย

เวลาอยู่บ้านตาด ถ้าเป็นข้อวัตรของส่วนรวม ทำเต็มที่เลย แต่ถ้ามันเป็นของส่วนตัว คนเขามีความคิดอะไรขึ้นมาจะทำ เรียกอย่างไรกูก็ไม่ไป กูไม่สน แต่ถ้าเป็นเรื่องส่วนรวมเนาะ ข้อวัตรส่วนรวม ของใช้ของท่าส่วนรวม อย่างเช่นน้ำท่าที่เอามาใช้ในส้วม นั่นของเรา ต้องเข็น ต้องช่วยกันดูแล แต่ถ้าเป็นส่วนเขาคิดอะไรเป็นเรื่องพิเศษของเขา ถ้าเป็นเพื่อนสนิทกันหรือเพื่อนที่มีบุญคุณกันก็ช่วย แต่ถ้าคนอื่น ไม่เอา เพราะมันเสียเวลาภาวนา เราต้องตั้งใจ เราจะได้นั่งสมาธิภาวนา

แต่ทีนี้พอเราเทียบอย่างนี้ปั๊บ เทียบมาที่ว่าเรื่องต่อชีวิตเรื่องอะไรอย่างนี้ มันเป็นเรื่องสังคม กระแสไง แล้วพอมันมีกระแสขึ้นมา เราก็เห็นไปกับเขา แต่สำหรับพวกเรา อ้าว! ถึงเวลาตายก็ตาย ถึงเวลาอยู่ก็อยู่ มีสติ พระพุทธเจ้าสอนอยู่แล้ว ไม่ประมาท ไม่ให้ประมาทกับชีวิต แล้วเราเร่งของเราพอ

แต่เรื่องอย่างนั้นเราเข้าใจได้ เรื่องต่ออายุเรื่องอะไรเราเข้าใจได้ แต่มันต้องต่ออายุแบบธรรมชาติด้วย ไม่ใช่ต่อแบบโลกๆ เขา ถ้าตอบอย่างนี้ปั๊บ มันก็เป็นแค่พวกฌานโลกีย์ แล้วมันก็อยู่กันไป แล้วอย่างที่พูดเมื่อกี้ อายุสั้นหรืออายุยาวมีประโยชน์อะไร ถ้าโดยธรรมชาติเลย เราพูดบ่อยนะ อย่างเรา พวกเรา สมมุติตีว่าเราอายุ ๑๐๐ ปี แล้วเราก็ตีแมลงวันอายุมัน ๗ วัน แล้วเกิดมาพร้อมกัน อายุเรายืนกว่า แมลงวัน พวกแมลงอายุมันกี่วัน ภพหนึ่งของเขา เขาว่านานนะ ๗ วันของมัน มันก็ตั้งนานนะ ชีวิตหนึ่งของมัน แล้วชีวิตหนึ่งของเราล่ะ แล้วชีวิตหนึ่งของเทวดาล่ะ

เทวดานะ เขาไปเที่ยวสวนกัน แล้วมีเทวดาคนหนึ่งมันหมดอายุ มันก็ลงมาใช้ชีวิตหนึ่ง ชีวิตหนึ่งเลยนะ ตายไป ใช้ชีวิตหนึ่งตายไป กลับไปบนสวรรค์อีก เขาไปเก็บสวนกันยังไม่กลับนะ แล้วเขาถามว่า “เมื่อกี้ไปไหนมา”

“มาเกิดแล้วชาติหนึ่ง”

เพราะในตำราบอกว่า ๑๐๐ ปีของเราเท่ากับเขาหนึ่งวัน ฉะนั้น อายุของเรา ๗๐-๘๐ ปี ไม่ถึงหนึ่งวันของเขา มันเลยไม่แปลกไง เรื่องนี้ไม่แปลก แล้วอย่างอ่านพระไตรปิฎก เมื่อก่อนมนุษย์อายุ ๘๐,๐๐๐ ปี ใครเชื่อ ใครเชื่อว่ามนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี เชื่อไหม ไม่มีใครเชื่อหรอกว่ามนุษย์อายุ ๘๐,๐๐๐ ปี พระพุทธเจ้าอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี แล้วพระพุทธเจ้าเรา ๘๐ ปี แต่ ๘๐,๐๐๐ ปีมันไม่ได้วางศาสนา แต่นี่ ๘๐ ปีวางไป ๕,๐๐๐ ปี

เราคิดอย่างนี้ เรามาคิดถึงคนโบราณสิ เมื่อก่อนเราขุดศพกัน คนโบราณจะร่างกายสูงใหญ่มาก นี่แค่ไม่กี่ร้อยปีนะ แล้วคิดย้อนกลับไปสิ มันถึงเวลาโลกสมดุลของเรามันปรับไป ตอนนี้เราคิดกันได้แค่นี้ไง เพราะมันถึงเวลาแล้ว คนเรานะ พระพุทธเจ้าบอกเลย ต่อไปลบด้วย ๑ ตลอด ๕,๐๐๐ ปีลบด้วย ๑ จาก ๑๐๐ ปี เหลือ ๘๐ ปี ๘๐ ปี เหลือ ๗๕ ปี ต่อไปมนุษย์จะเหลือแค่อายุ ๑๐ ปี แล้วมันก็น่าคิดนะ เดี๋ยวนี้เด็กๆ เป็นแม่ตั้งแต่เด็กไง ไม่ใช่เป็นนางสาว เป็นเด็กแล้วเป็นแม่เลย ต่อไปจะเป็นอย่างนั้น แล้วโลกนี้จะเห็นโทษของมัน พอเห็นโทษของมัน แล้วโลกนี้จะปรับสภาพ เรื่องทรัพยากรด้วย เรื่องความเป็นอยู่ของมนุษย์ด้วย แล้วต่างคนต่างกลับมา นี่ในพระไตรปิฎกว่าไว้อย่างนั้น หลวงตาพูดบ่อย แล้วต่อไปทรัพยากรไม่พอ แล้วจะมีปัญหามาก แล้วเด็ก เดี๋ยวนี้นะ เด็ก ๑๐ กว่าขวบแต่งงานกันแล้ว แล้วอายุมันจะสั้นไปเรื่อยๆ สั้นไปเรื่อยๆ พอสั้นไปเรื่อยๆ ถึงจุดหนึ่ง มนุษย์จะเริ่มคิดได้ แล้วเริ่มทำคุณงามความดีกัน อันนี้มนุษย์ อายุของมนุษย์ก็จะยาวขึ้นเรื่อยๆ

แล้วไอ้เชื่อหรือไม่เชื่อนี่นะ เวลาเรามาเกิด เราไม่รู้ว่าเป็นเราหรือเปล่า ไอ้เราเวลามาเกิดเป็นคนคนนั้นยังไม่รู้ว่ากูเป็นคนนี้หรือเปล่า แล้วถึงเวลาก็ไม่เชื่ออยู่อย่างนี้ นี่กิเลสเป็นอย่างนี้ มันจะบังไว้ตลอด เพราะเวลาตายแล้วปั๊บ บุพเพนิวาสานุสติญาณ พอจิตเข้าถึงข้อมูลเดิมมันจะรื้อ อย่างเช่นพระพุทธเจ้า จากเจ้าชายสิทธัตถะเป็นพระเวสสันดร ย้อนไปไม่มีต้นไม่มีปลาย มันจะเห็นภพเห็นชาติของตัวเอง ถ้าตรงนี้มันไม่มี ถ้าตรงนี้มันขาดไป วิทยาศาสตร์ ถ้าตรงนี้มันขาดไปปั๊บ พันธุกรรมทางจิต แบบพระโพธิสัตว์ต้อง ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย ถ้ามันขาดตอน แสดงว่าพระโพธิสัตว์ต่อกันไม่ได้ พระพุทธเจ้าเกิดไม่ได้

พระพุทธเจ้าจะเกิดเพราะต้องมีบารมี บารมีอันนี้มาจากการสร้างสม เพราะการสร้างสมมันสร้างสมมาแล้วมันขาดตอน ถ้าขาดตอนมันจะต่อเนื่องกันได้อย่างไร

แล้วบอกว่าไม่มี ไม่มีเพราะมึงไม่รู้สิ

พอมันเป็นปัจจุบัน ที่ว่ากิเลสมันร้ายมาก มันบังไว้แค่นี้ไง บังให้เราตั้งแต่กูลูกใคร แล้วกูตายแล้วก็จบ มันไม่ได้คิดหรอกว่ามันมีอะไรซับซ้อนไปมากกว่านั้น มันจะมีว่าเราลูกใคร กับว่ากลับบ้าน กลับไปไหน กลับบ้าน

นี่พูดถึงเวลาเราไปให้ความสำคัญอะไร ตรงนั้นมันก็จะเป็นความรู้สึก เป็นความคิด แต่ถ้าเรารับรู้ไว้ รับรู้ไง ทางไสยศาสตร์ ทางโลก เขาเรียกผลของวัฏฏะ วัฏฏะเป็นอย่างนี้

พระอรหันต์สมัยพุทธกาลนะ เวลามีอะไรกระทบกระเทือนนะ ท่านไม่ถือกัน นั่นเป็นผลของวัฏฏะ ผลของวัฏฏะ หมายถึงว่า เราเกิดเราตายกันมามันมีความชอบ มีความชอบ มีความบาดหมาง มันจะมากระทบกัน ถ้ากระทบแล้วก็แล้วกันไป เหมือนสวะเลย มันลอยไปตามน้ำแล้วก็กระทบกัน แล้วก็แยกกันไป ผลของวัฏฏะไง ผลของการเกิดการตาย ผลที่เราเกิดมา แต่พอเราเป็นกิเลส พอเป็นเราขึ้นมา มันเสียศักดิ์ศรี กระทบกระเทือนกันแล้วยึดมั่นถือมั่น แล้วมีปัญหาต่อกันไง นี่ผลของวัฏฏะ

ว่าต่อไป หมดแล้วหรือ นี่พูดถึงอันนี้ พูดถึงการต่ออายุ

โยม : (เสียงไม่ชัดเจน)

หลวงพ่อ : มันต่อ ตอนที่ท่านต่อ ท่านพูดจริงๆ ท่านพูดเป็นวงในเลย ท่านพูดเป็นวงในเลย แต่ท่านทำของท่านมีประโยชน์สิ เราคิดเลยนะ เราคิดถึง เช่น หลวงปู่จวน อาจารย์สิงห์ทองอย่างนี้ ถ้าท่านมีชีวิตอยู่ ประโยชน์จะขนาดไหน

เราอยู่กับพระฝรั่งนะ เวลาคุยกับพระฝรั่ง สนิทกันมาก พระฝรั่งพูดกับเราอย่างไรรู้ไหม มันคุยกับเรา บอกถนนสายหนึ่งมีพระอรหันต์ ๓ องค์ จากบ้านตาดนะ ถนนสายอุดร-สกลไง ต้นทาง หลวงตา ตรงกลาง อาจารย์สิงห์ทอง ถนนเส้นเดียวมีวัดอยู่ มีพระอรหันต์อยู่ถึง ๓ องค์ ฝรั่งมันพูดกับเราเองนะ ทีแรกมันพูดกับเรา เรางงเลยนะ ต้นทางคือวัดป่าบ้านตาด แล้วก็ป่าแก้วชุมพล แล้วก็ไปพรรณนา หลวงปู่ฝั้น ถนนสายเดียวมีพระอรหันต์อยู่ ๓-๔ องค์ ฝรั่งมันพูดอย่างนี้เลยนะเวลามันคุยกับเรา

โอ้! มันคิดอย่างนี้เว้ย เพราะตอนนั้นเราอยู่นั่นมีแต่ฝรั่ง สมัยเราอยู่ ฝรั่งเข้ามา แล้วฝรั่งเขาศึกษามาก ถ้าพูดถึงอย่างนี้อยู่มันเป็นประโยชน์มาก เป็นประโยชน์เพราะอะไร เวลาตอบปัญหามันชัดเจน โธ่! เราฟังเทศน์จริงๆ นะ เราฟังเทศน์คนอื่น ประสาเรานะ โทษนะ มันบ้องตื้น มันตอบอะไรกันวะ บ้าๆ บอๆ แล้วมันถึงเรา อืม! พูดอะไรไม่ออก เราก็พูดไป พยายามจะสอน เวลาเสร็จแล้วก็จบ มันจะไม่มีอีกแล้ว มันจะไม่มีอีกแล้ว

แล้วอย่างที่พูดๆ บางทีรู้หมดนะ เพียงแต่ว่า อย่างเช่นครูบาอาจารย์ท่านจะรู้มาหมด การรู้อย่างนี้มันไม่ได้แก้จิตไง เพราะจิตแต่ละดวงๆ มันจะมีความแตกต่างกันมาเยอะแยะไปหมด อ้าว! สมมุติเราเคยเป็นฤๅษีมาเก่าอย่างนี้ เราก็ชอบเรื่องความสงบ ในชาติก่อนๆ มา เราเป็นอะไรมา อันนี้พวกโยมก็เป็นมาทั้งนั้นน่ะ แต่ละชาติมันก็ฝังใจกันมา เวลามาปฏิบัติ ไอ้ตรงนั้นมันก็จะออกมา แล้วเวลาคนอื่นสอนก็ อืมๆๆ มันไม่รู้ตัวหรอก คนที่เกิดๆ มา มันผ่านการเกิดและการตายมาซับซ้อน พอซับซ้อนขึ้นมาก็ตกผลึก พอตกผลึกมันก็เป็นกิริยาอย่างนั้นน่ะ

ทีนี้ครูบาอาจารย์ที่เป็น พอเราตกผลึก เราจะแก้อย่างไร คำว่า “แก้” นี่นะ คือแก้ให้ได้ประโยชน์เขา ไม่ใช่แก้ให้มันมาเข้าสัจจะอย่างนี้เลย ถ้าเข้าสัจจะอย่างนี้ โดยหลักมันเป็นอย่างนี้ ทีนี้โดยหลักเป็นอย่างนี้ใช่ไหม แต่เขามีรสนิยม จริงไหม เขามีรสนิยม เขามีข้อมูลที่ตกผลึก เราต้องแก้ไขตรงนั้น จากนั้น เริ่มต้นจากตรงนั้นมา ให้เข้ามาถึงสัจจะอันนี้ให้ได้ แล้วมันแก้ได้ มันแก้ได้ด้วยอยู่ที่การกระทำแต่ละดวงใจ

แต่ทีนี้ถ้าอาจารย์ไม่เป็น ความตกผลึกในใจนั้นเรื่องหนึ่ง แต่เวลากูพูด กูพูดสัจจะ กูสอนตามตำราไง อริยสัจว่าอย่างนี้ๆ แล้วมึงมากันได้ไหม

เราถึงพูดไง เวลาพูด ใครไปหานะ “พิจารณากายสิๆ”

ขอถามกลับว่า พิจารณาอย่างไรวะ

โดยสัจธรรมไง โดยตำรามันมีอยู่จริงไหม ทีนี้เวลาคนมันไม่เป็น เวลาคนที่มันภาวนามามันมีความตกผลึกมาในใจมัน บางคนพิจารณากาย บางคนพิจารณาเวทนา บางคนพิจารณาจิตใช่ไหม บางคนพิจารณาธรรม แล้วการพิจารณากายมันก็ยังมีหยาบ มีกลาง มีละเอียดอีก เพราะการพิจารณากายในทางของหลวงปู่เจี๊ยะ หลวงปู่เจี๊ยะนี่พระอรหันต์นะ หลวงปู่ชอบ หลวงปู่คำดี พระอรหันต์หมดเลย การพิจารณากายก็ยังหยาบละเอียดต่างกัน การพิจารณากายของหลวงปู่ดูลย์ พระอรหันต์เหมือนกัน แต่ไม่ต้องเห็นกาย หลวงปู่ดูลย์บอกพิจารณากายไม่ต้องเห็นกาย ใช้ธรรม กาย เวทนา จิต ธรรม สภาวธรรมไง การพิจารณากายด้วยกันก็ไม่เหมือนกัน

ทีนี้เวลาเราพิจารณาของเรา เราตั้งให้ได้ เราพิจารณาได้แล้วเราต่อสู้ของเรา เราทำของเราไป ผลไง ถ้าคนเป็นมันจะวัดผลได้ วัดผลได้คือว่า ผลของสมาธิอย่างหนึ่ง ผลของปัญญาอย่างหนึ่ง ผลของสมาธิมันสงบมีความสุขอย่างหนึ่ง แล้วคิดว่าเป็นธรรม

ผลของธรรม ที่พูดตอนเช้า สำรอกออก ผลของธรรมต้องสำรอกกิเลสออก ผลของสมาธิคือความสงบสุข ผลของธรรมคือสำรอกกิเลสออก วัดผลได้ ตอนวัดผลได้ จะวัดผลได้ต้องคนรู้จักผล ถ้าคนไม่รู้จักผล เอาอะไรไปวัดผล ฉะนั้น เราถึงพูดบ่อย ว่างๆ ว่างๆ อย่างนี้ โอ้โฮ! กูเบื่อฉิบหายเลย กูเบื่อ ว่างๆ อะไรวะ ว่างๆ อะไรของมึง มันวัดผลได้ มันพูดได้ มันต้องทำได้ แล้วถ้าคนมันไม่เคยทำมันพูดไม่ได้

อันนี้เราเกิดมาพบพระพุทธศาสนา อันนี้สำคัญ สำคัญมากๆ แล้วต่อไปมันจะหมดไปเรื่อยๆ มันเหลือแต่สัจจะ เหลือสัจจะคือทฤษฎี “ต้องเป็นอย่างนั้นๆ” ก็ว่ากันไปปากเปียกปากแฉะ มันก็เหมือนกับวาสนาของคน มันจะเรียวแหลมไปเรื่อยๆ ถ้าเราคิดอย่างนี้แล้ว อย่างข้างนอก อย่างที่ว่าโยมพูดมาว่าไปเห็นทั้งหมดเลย แล้วมันลึกลับยิ่งกว่านี้อีกนะ ไปดูสิ อย่างการต่อ ไปดูศาลต่างๆ เวลาเขาเข้าเจ้าเข้าทรงกัน โอ้โฮ! ดูน่าเชื่อถือ แล้วมาดูพระ โอ้โฮ! หัวโล้นๆ ไม่เห็นมีอะไรเลย มันน่าเชื่อถือตรงไหนเนาะ เวลาพูดอะไรไปก็แค่นั้นน่ะ แต่ของเขามีท่ามีทาง มันน่าเชื่อถือ แต่สำหรับเรานะ ละครน่ะ

เราเคยพูดนะ แต่เราเป็น เพราะเราบวชใหม่ๆ เราก็ไปอยู่ บวชใหม่ๆ หัวหน้าเขาพาไปฉันตามเวลาเขามีงานประจำปี ศาลเจ้าต่างๆ เราก็ไปฉันมาแล้ว แต่เราคิดในใจ เราโตมาแล้วนะ เราคิดในใจนะ เวลาฉันน่ะ ถ้ามึงแน่จริงมึงก็กินกันเองสิ มึงต้องนิมนต์พระมาทำห่าอะไรวะ ไอ้พวกพระที่เข้าทรงเนาะ มึงก็ทำพิธีกันไป มึงก็ทำได้ ทำไมต้องนิมนต์พระมาด้วยวะ

แล้วเวลาเขาจะเข้าทรง เวลาเขาพูด มันก็นี่แหละ ชุมนุมเทวดา มีเหมือนพระเรานี่แหละ เอาหลักบาลีของพระไปใช้ ทีนี้เพียงแต่เราไปมอง มันแบบว่า ประสาเรา มันแบบโลก มันครึกครื้น พอเรื่องธรรมะมันจืดสนิท

แล้วถ้าพระนี่นะ สำหรับเรา อย่างเราพูดได้ทั้งวัน เพราะธรรมะมันออกมาเรื่อยๆ แต่ถ้าเป็นธรรมดานะ เรานี่นะ สมมุติเราไปจำใครมา เราจะพูดได้อย่างนี้นะไม่เกินปี ปีต่อๆ ไปมันพูดซ้ำพูดซากๆ แล้วยิ่งอย่างเช่นเรามีกิเลสเยอะ วันนี้โกหก พรุ่งนี้โกหก โกหกไปเรื่อยๆ โกหกไปโกหกมาจนไม่รู้ว่ากูโกหกไว้ตรงไหนบ้าง ไอ้โกหกๆ พันกันยุ่งไปหมดเลย ธรรมะเราฟังมาเป็นอย่างนั้น วันนี้ก็โกหกไปหน่อยหนึ่ง พรุ่งนี้ก็โกหกไปอีกหน่อยหนึ่ง คือสอนไปอย่าง สอนไปอย่าง ไอ้คำสอนมันพันกันไปพันกันมา เฮ้ย! มึงสอนอย่างไรวะ คำสอนมึงไปไหน

แต่ถ้าเป็นธรรมนะ มันมีระดับของมัน มันมีสมาธิ มีปัญญา แล้วก็มีโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามีขึ้นไป คือว่าพูดคำเดียวกันนี่แหละ แต่อธิบายได้เป็นชั้นๆๆ คือคนปฏิบัติมันมีชั้นๆ วุฒิภาวะไง จิตมันจะพัฒนาขึ้นไปเป็นชั้นๆ ทีนี้พอพูด ถ้ามันเป็นจริงมันจะไปเลย เหินเลย เวลาพูดธรรมะเหมือนเครื่องบินเลย แท็กซี่แล้วขึ้นเลย ถึงที่สุดเลย

ทีนี้พอถึงที่สุด ไอ้คนฟังไม่เข้าใจอีกล่ะ คนฟังมันนึกว่าเครื่องบินมันจะวิ่งอยู่บนลานไม่ไปไหนไง คือธรรมะต้องเป็นอย่างนี้ พอเหินขึ้นไป เฮ้ยๆๆ ผิดๆๆ

เฮ้ย! กูจะขึ้น กูจะบิน ไอ้บ้า

โลกคิดได้เฉพาะบนโต๊ะ แต่ธรรมะพอมันพ้นไป เหมือนเรือบรรทุกเครื่องบิน พอมันพ้นจากเรือไปมันก็ขึ้นฟ้า เราเจอบ่อย พวกนักปราชญ์มา โอ๋ย! พูดซ้ำๆ เก่าๆ มันไม่รู้หรอกว่าคำพูดมันไม่ได้เก่า มันพูดแล้วมันเป็นคนละขั้นตอนกัน

มีอะไรไหม ไม่มีอะไรจะจบ จบแล้ว เอวัง

จะบอก